การวัดและการประเมินผล
การวัดและการประเมินผลเป็นภารกิจที่สําคัญอยางหนึ่งสําหรับผู้สอน่
ด้วยเหตุผลที่ว่าการวัด
และการประเมินผลจะเป็นวิธีการที่ประเมินความรู้ความสามารถของผู้เรียนตลอดจนใช้เป็น วิธีการในการตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้สอนได้ว่า ได้ดําเนินการสอนให้เป็นไปตาม
เป้าหมายหรือจุดประสงค์ที่กาหนดไว้หรือไมํ่ดังนั้นผู้สอนจึงจําเป็นจะต้องมีความรู้ความเข้าใจ
และสามารถดําเนินการวัดและการ ประเมินผลได้เป็นอยางดี่
การวัดเป็นกระบวนการเชิงปริมาณในการกาหนดคํ่าเป็นตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่มี
ความหมายแทน คุณลักษณะของสิ่งที่วัด โดยอาศัยกฎเกณฑ์อยางใดอย่างหนึ่ง่
ส่วนคําว่า “การประเมินผล” นั้นเป็นการตัดสินเก่ียวกบคุณภาพหรือคุณคั่าของวัตถุสิ่งของ
โครงการการศึกษาพฤติกรรมการทํางานของคนงานหรือความรู้ความสามารถของนักเรียน
จุดประสงค์ของการวัดและการประเมินผลุ
การวัดและการประเมินผลการศึกษาหรือการเรียนการสอนหรือที่ในปัจจุบันใช้คําว่าการ
จัดการ เรียนรู้เป็นไปเพื่อจุดประสงค์ดังต่อไปนี้
1.
การจัดตําแหน่ง(Placement)
เป็ นการวัดและกาประเมินผล โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อ จัด หรือแบ่งประเภทผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความสามารถอยูตรงระดับไหนของกลุ่่มเก่ง
ปานกลาง หรือออน่ มาก น้อยเท่าใด ซึ่งสามารถใช้ได้หลายๆ กรณีตัวอยางเช่่น
เมื่อจะรับผู้เรียนเข้าสถานศึกษา
ผู้เรียนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกนทัั้งด้านสติปัญญา ความสนใจ ความถนัด
รวมทั้งบุคลิกภาพด้านต่างๆ ที่จะต้องมีการ
คัดเลือกว่าจะรับผู้เรียนประเภทใดหรือไม่รับ
ประเภทใดและถ้ารับเข้ามาแล้วจะจัดแบงสาขาวิชาหรือชั่้นเรียน อยางไร่
ดังนั้นผู้สอนหรือ
สถานศึกษาก็จะสามารถใช้การวัดและการประเมินผลมาเป็นเกณฑ์ในการจัดหรือ แบ่งประเภท
ได้อยางยุติธรรม่
2.
การวินิจฉัย(Diagnosis)
คําๆนี้มักจะใช้ในทางการแพทย์โดยเมื่อแพทย์ตรวจคนใช้ แล้ว แพทย์จะต้องวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นโรคอะไร
หรือมีสาเหตุอะไรที่ทําให้ไม่สบาย ซึ่งจะเป็น
การหาสมมติฐานของโรงเพื่อนําไปสู่การรักษา สําหรับในทางการศึกษานั้น การวัดและการ
ประเมินผลที่เป็ นไปเพื่อการวินิจฉัย
ผู้เรียนคนใดมีความสามารถทางด้านใดและเมื่อสอนไปแล้
ในแต่ละวิชามีส่วนใดที่ผู้เรียนเข้าใจ ชัดเจน ถูกต้องหรือไม่เข้าใจ
เข้าใจยังไม่ถูกต้อง ผู้สอนจะ ได้สอนหรือแนะนําทําคว มเข้าใจใหม่ได้ถูกต้อง
3.
การเปรียบเทียบ(Assessment) จุดประสงค์ของการวัดและการประเมินผลในข้อนี้เป็นไปเช่เปรียบเทียบ
ความเจริญงอกงามหรือพัฒนาการของการเรียนรู้ของผู้เรียน
โดยการที่ ผู้สอนอาจจะสอบ ความรู้ความสามารถของผู้เรียนไว้ก่อนเมื่อเริ่มเรียนแล้ว
หลังจากนั้นเมื่อเลิก เรียนไปแล้วระยะหนึ่ง หรือเช่น
เรียนไปจนจบแล้วผู้สอนอาจจะสอบเพื่อวัดและประเมินผลอีก
ครั้งว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด
ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นการแสดงถึงความ
เจริญกาวหน้าหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน้ โดยเปรียบเทียบจาก
ผลการสอบก่อนเรียนกบผลั การสอบหลังจากที่เรียนไปแล้ว
4.
การพยากรณ์(Prediction) เป็นการวัดหรือประเมินผลเพื่อช่วยในการพยากรณ์ทํานาย
หรือ
คาดการณ์และแนะนําว่าผู้เรียนคนนั้นๆ ควรจะเรียนอยางไร่ จึงจะประสบความสําเร็จและ
สอดคล้องกบั ความสามารถ ความถนัดหรือความสนใจของแต่ละบุคคล ในทางจิตวิทยา
การศึกษานั้นเชื่อกนวั่าคนเราทุกคน มีความแตกต่างกนในหลายๆั ด้าน ดังนั้น หากสามารถจัด
การศึกษา หรือการเรียนการสอนให้สอดคล้องกบความถนัดั ความสนใจ หรือความรู้
ความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนได้ก็จะทําให้การศึกษาหรือการเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ
ได้ รวดเร็วและประสบความสําเร็จในการเรียนได้เป็นอยางดี่
5.
การป้อนผลย้อนกลับ(Feedback)
เป็ นการวัดและการประเมินผลเพื่อนําผลประเมินที่ได้ ไปใช้ใน การปรับปรุง การจัดการเรียนการสอนในครั้งต่อๆ ไป
ผลย้อนกลับนี้มีได้ทั้งส่วนที่เป็น ของผู้สอนและส่วนที่เป็นของผู้เรียน
ในส่วนของผู้สอนเมื่อการจัดการเรียนการสอนผานไปแต่ละบทเรียนหรือเมื่อจบการเรียนการ สอนแล้ว ผู้สอนควรมีการวัดและประเมินผลเพื่อดูว่า
เทคนิค วิธีการสอน สื่อการเรียนการสอน เนื้อหาหรือ
กิจกรรมที่จัดให้กบผู้เรียนนัั้นเกิดการ เรียนรู้ตามจุดประสงค์หรือไม่อยางไร่
มีส่วนใดบ้างที่จําเป็นต้อง ปรับปรุงแกไขส้่วนใดบ้างที่ดี อยูแล้ว่
สําหรับในส่วนของผู้เรียนนั้น เมื่อมีการวัดและการประเมินผลแต่ผู้เรียนก็จะได้รับ
รายงานผลของตนเอง ทําให้ทราบว่าตนเองนั้นมีความรู้ระดับใด
และมีเรื่องใดบ้างที่เรียน แล้ว
เข้าใจชัดเจนเรื่องใดบ้างที่ยังต้องการศึษพิมเติมอีก
ซึ่งจะเป็นประโยชน์อยางยิ่งแก่่ผู้เรียนใน การศึก ขั้นสูงต่อๆไป
6.
การเรียนรู้(Learning Experience) เป็ นการวัดและการประเมินผลที่มีจุดประสงค์เพื่อ เป็นการ ในรูปแบบต่างๆ
ที่ทําให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีแล้วยังทําให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ดีของ
ผู้เรียนอีกด้วย
ในกรณีที่มีการสอบเพื่อวัดและประเมินผลนี้ก่อนสอบผู้เรียนจะต้องมีการเตรียม
ตัวสอบจะต้องมีการทบทวนเนื้อหาวิชาที่เรียนศึกษาค้นคว้า
ทําความเข้าใจให้ถ่องแท้จึงทําให้ เกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้น และถูกต้องชัดเจน
และผู้เรียนเข้าทําข้อสอบ โดยที่ข้อสอบที่ใช้นั้นจะเป็น สภาพการณ์ที่สร้างขึ้น
เพื่อให้ผู้เรียนตอบแบบที่ต้องใช้ความคิดในหลายๆ แง่มุม เช่น คิด แกปัญหา้
คิดคํานวณ คิดหาสรุป เป็นต้น ซึ่งการคิดเหล่านี้เป็น กระบวนการที่ก่อให้เกิดการ
เรียนรู้ที่ดีและมีประสิทธิภาพ
การวัดและการประเมินผลนอกจากจะมีจุดประสงค์ดังก่ล้ว
บลูม (Bloom, 1971,p.56)
ได้เสนอ เก่ียวกับ
จุดประสงค์ที่จะทําการวัดและการประเมินผลโดยเน้นที่จุดประสงค์หรือั
พฤติกรรมที่ต้องการวัดได้ไว้ดังนี้
1. วัดทางปัญญาหรือพุทธิพิสัยCognitive( Domain)
2. วัดทางความรู้สึกนึกคิดหรือจิตพิสัยAffective( Domain)
3. วัดความสามารถในการใช้อวัยวะต่างๆ หรือทักษะพิสัย
(Psychomotor Domain)
เครื่องมือและเทคนิควิธีที่ใช้ในการวัดและการประเมินผล
เครื่องมือและเทคนิควิธีที่ใช้ในการวัดและการประเมินผลการเรียนการสอนนั้นมีมากมายหลาย ชนิด
แต่ที่รู้จักและนิยมใช้กนเป็นสั่วนมาก ได้แก่
1.
การสังเกตป็นการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของผู้สังเกต
สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนใน สภาพการณ์ที่เป็นจริงทั้งในและนอกห้องเรียนการสังเกตโดยทัวๆ่
ไปเป็นการเฝ้าดูพฤติกรรม ต่าง ๆ ของผู้ถูก สังเกต
ซึ่งอาจจะเฝ้าดูไปตามเรื่องไม่ได้กาหนดหรือวางแผนวํ่าจะสังเกตอะไรอย่างไร สังเกตอะไรก่อน-หลัง
เมื่อมีพฤติกรรมอะไรเกิดขึ้นก็สังเกตและจดบันทึกไว้ทั้งหมด หรืออาจจะเฝ้าดูอยางมีแผนการ่
กาหนดไว้ํแน่นอนว่าจะสังเกตอะไรบ้างและสังเกตอยางไร่ ตัวอยางเช่่น
ต้องการจะวัดว่าผู้เรียนคนใดคนหนึ่งมีพฤติกรรมกาวร้าวอย้างไรบ้าง่ อาจกาหนดํ
แผนงานในการสังเกตเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อคอยสังเกต
พฤติกรรมกาวร้าวของผู้เรียนคนนั้้นว่า แสดงพฤติกรรมกาวร้าวอะไรออกมาบ้าง้
และมีการแสดงออกอยางไร่ พร้อมทั้งจดบันทึกผลไว้ แล้วนํามาประเมินผลในภายหลัง
เป็นต้น การสังเกตทั้งสองวิธีนี้มีทั้งข้อดีและ ข้อบกพร่อง แตกต่างกนั คือ
การสังเกตอยางไม่่มีแผนล่วงหน้า อาจจะเสียเวลาน้อย แต่จะได้พฤติกรรมที่เกิดขึ้นอยางมาก โดยที่บางพฤติกรรมอาจไม่ตรงกบที่ต้องการจะสังเกตกั็ได้ส่วนการสังเกต
อยางมีแผนการ่ จะเสียเวลาเฝ้าคอยพฤติกรรมนั้นๆ นาน
แต่จะได้เฉพาะพฤติกรรมที่ต้องการ สังเกตจริงๆ เท่านั้น
2.
การสัมภาษณ์เป็นการพูดคุยซักถามกนระหวั่างผู้สอนกบผูเรียนมีการซักถามโต้ตอบซึ่งั และกนั การสัมภาษณ์อาจทําได้สองแบบเช่นเดียวกนั
คือ แบบไม่มีแบบแผนและแบบมีแผน โดยเฉพาะแบบ มีแผนนั้น
จะกระทําเพื่อหาข้อมูลบางอยางโดยมีวัตถุประสงค์ที่แน่่นอน มีแนว
การสัมภาษณ์และาหนดเป็นํ คําถามไว้ล่วงหน้า ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย
โดยจะใช้การถามเพื่อล้วงหาคําตอบแบบหยังลึกก่็ได้การสัมภาษณ์วิธีนี้จะมีการบันทึกผลการสัมภาษณ์และการตั้งเกณฑ์
สําหรับคนที่จะผานการสัมภาษณ์ด้วย่ การวัดและการประเมินผล
โดยใช้การสัมภาษณ์นี้มีข้อดี ตรงที่ผู้สัมภาษณ์จะได้ผลจากการสัมภาษณ์ที่เป็
นข้อมูลสภาพจริงของผู้ตอบ ได้ทราบความรู้สึก นึกคิดและพฤติกรรมของผู้ถูกสัมภาษณ์ได้อยางใกล้ชิดแต่่อาจต้องใช้เวลามาก
3.
การให้ปฏิบัติเ็นการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติให้ดูวาสามารถทําได้ตามที่เรียนรู้หรือไม่่ การสอนเขียนแบบ เมื่อผู้นสอนหลักการไปแล้วก็ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติเขียนแบบตาม
หลักการให้เป็นต้น การวัดโดยให้ปฏิบัติและประเมินผลจากผลการปฏิบัตินั้นๆ
ถือเป็นวิธีการ วัดและประเมิน อีกวิธีหนึ่งในบางสาขาวิชา
โดยเฉพาะสาขาวิชาที่เก่ียวกบการสอนทักษะตั่างๆ
4.
การศึกษากรณีเป็ นเทคนิคการศึกษแกปัญหา้
หรือปรากฏการณ์อยางใดอย่างหนึ่ง่ ละเอียดลึกซึ่งเป็นรายๆ
ไป เช่น การค้นหาสาเหตุของผู้เรียนที่มาโรงเรียนสายเป็นประจําหรือ ผู้เรียนที่14ตั้งใจเรียนและชอบหนีโรงเรียน
เป็นต้น ในการศึกษาจะใช้เทคนิคและเครื่องมือ หลายชนิดมารวบรวมข้อง ในเรื่องต่างๆ
ที่ศึกษาและบันทึกผลไว้แล้วนํามาวิเคราะห์ สรุปหา
สาเหตุของปัญหาหรือประเด็นที่ต้องการศึกษาอยางแท้จริง่
5.
การให้จิตนาการเป็นเครื่องมือวัดทางจิตวิทยาที่สร้างขึ้นเพื่อล้วงความรู้สึกนึกคิดของผู้ ถูกวัด
ออกมาอยางไม่่ให้เจ้าตัวรู้สึกและให้เจ้าตัวเห็นว่าเป็นความรู้สึกหรือปฏิกิริยาของคนอื่น
การวัดและการ ประเมินผลด้วยวิธีนี้มักใช้วัดทางด้านบุคลิกภาพ เช่น เจตคติความสนใจ อารมณ์
ค่านิยม นิสัยและอุปนิสัย เป็นต้น การให้จินตนาการมีหลายแบบ เช่น แบบเติมประโยคให้
สมบูรณ์ แบบให้แสดงออกหรืออธิบายภาพ ที่เลือนลาง แบบเรียงลําดับ เป็ นต้น การให้
จินตนาการนี้เหมาะสําหรับผู้ที่มีปัญหาในการพูด หรือลําบากใจ
ในการโต้ตอบซักถามได้เป็น อยางดี่เพราะจะทําให้ได้การวัดและการประเมินผลที่ถูกต้องหรือใกล้เคียงความ
จริงมากที่สุด
6.
การใช้แบบสอบถามเป็ นวิธีที่จะต้องมีแบบสอบถามเป็
นชุดของคําถามที่ถูกจัดเรียงไว้ อยาง่
เป็นระบบระเบียบ พร้อมที่จะส่งให้ผู้ตอบอ่านและตอบด้วยตนเอง คําถามที่ใช้จะเป็น
คําถามที่ใช้ถาม ข้อเท็จจริงและความคิดเห็นต่างๆ เก่ียวกบเรื่องใดเรื่องหนึ่งั
คําถามใน แบบสอบถามนี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ แบบคําถามเปิด
ผู้ตอบต้องหาคําตอบมาใส่เอง และแบบคําถามปิดผู้ตอบเลือกตอบจากคําตอบที่กาหนดให้ํ
การประเมินผลตามระบบการวัดผล
ในกระบวนการเรียนการสอนนั้น
จะต้องมีการวัดและการประเมินผลเพื่อเป็นตัวบ่งชี้ถึงสัมฤทธิ์ผลในการเรียนรู้ของผู้เรียนและประสิทธิภาพของ
ผู้สอนดังนั้นเมื่อมีการวัดผลด้วย เครื่องมือเทคนิควิธีใดๆ
จะต้องนําผลที่ได้จากการวัดนั้นมาประเมินผลด้วยระบบการวัดผล มาตรฐานซึ่งได้แก่
1.
การประเมินผลแบบผลแบบอิงกล่มุ เป็นการประเมินผลเพื่อเปรียบเทียบผลงานหรือก ของผู้เรียนแต่ละคนกบผู้เรียนคนอื่นๆั
ในกลุ่มเดียวกนั โดยใช้งานหรือแบบทดสอบชนิด เดียวกนหรือฉบับเดียวกันั
จุดมุ่งหมายหลักของการประเมินผลแบบนี้เพื่อต้องการจําแนกหรือ
จัดลําดับบุคคลในกลุ่มนั้นๆ ตามความสามารถตั้งแต่สูงสุดจนถึงตํ่าสุด
โดยยึดระดับผลสัมฤทธิ์ เช่น การสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในสถานศึกษา
จะมีการแปลคะแนนของผู้สอบออกมาในรูป ของคะแนนมาตรฐานอยางใดอย่างหนึ่ง่
ซึ่งอาจจะเป็นการจัดคะแนนในรูปของเปอร์เซนไทล์ หรือ
เดไซด์กได้็แบบทดสอบสําหรับการประเมินผลประเภทนี้ควรมีความยากง่ายพอเหมาะ
คือไม่ยากหรือง่ายจนเกินไป ค่าที่พอเหมาะคือค่าความยากง่ายที่50 % ค่าอํานาจจําแนกสูง
ดังนั้นการได้คะแนนสูงหรือตํ่าของผู้เรียนจะถือว่าเป็นเพราะความแตกต่างของตัวผู้เรียนเอง
และความเป็ นมาตรฐานของข้อสอบที่สามารถแยกให้เห็ึ ความแตกต่างของคะแนนได้การ
ประเมินผลแบบอิงกลุ่มนี้จะบอกได้แต่เพียงว่า
ผู้เรียนคนหนึ่งสามารถทําได้ถูกต้องกว่าคนอื่นๆอยูก่่ีคน
เท่านั้นโดยไม่สามารถบอกได้ว่าผู้เรียนทําแบบทดสอบได้ถูกต้องทุกข้อ หรือถูกต้อง
70% หรือ30%
2.
การประเมินแบบอิงเกณฑ์็นการประเมินผลเพื่อเปรียบเทียบกบเกณฑ์ที่กัาหนดขึํ้น เพื่อดูว่า
งานหรือการสอบของผู้เรียนผานเกณฑ์ที่ก่าหนดไว้หรือไมํ่เพียงใด
โดยไม่คํานึงถึงอื่นๆ ที่อยูในกลุ่่มเดียวกนั ตัวอยางเช่่น
การสอบวิชาหลักการสอนให้ผาน่ จะต้องได้เกรดไม่ตํ่ากว่า 2 หรือC. คนที่สอบได้เท่ากบหรือั
มากกว่า 2 หรือC. ถึงจะถือว่าผานเกณฑ์่ เป็นต้น
การประเมินผลตามสภาพจริง
การปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทยในปัจจุบัน
มีจุดเด่นประการหนึ่งที่นอกเหนือจากการ เรียนการสอน
ที่ให้ผู้เรียนเป็ นศูนย์กลางChildCentered)( คือ การประเมินผลตามสภาพจริง(Authentic
Assessment) หรือเน้นการวัดผลให้ตรงกบสภาพจริงของการเรียนการสอนั แล้วนํา
ผลการวัดเหล่านั้นมา ประเมินว่าบรรลุผลการเรียนรู้มากน้อยเพียงไร
การเรียนการสอนแบบ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้น จะเน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้กระทํา (Learning
by doing) มิใช่เกิดจากการ เรียนการสอนแบบเก่า คือ ผู้เรียนฟังครูผู้สอนแต่เพียงอยางเดียว่
ซึ่งการเรียนในลักษณะนี้จะ
วัดผลเพียงแค่ผู้เรียนฟังแล้วรู้เรื่องที่ครูสอนมากน้อยเท่าไร ใคร
จําเรื่องราวที่ครูบรรยายได้มาก ก็ ประเมินว่าเรียนเก่ง
ใครจําเรื่องราวได้น้อยจากครูก็เป็นผู้เรียนอ่อนหรือ สมควรตก แล้วเรียน
ใหม่เป็นต้น
ในปัจจุบันการวัดผลมิใช่เพียงแค่การทดสอบ
หรือการสอบอยางเดียวแต่่ยังต้องประเมิน จากสภาพ แท้จริงของผู้เรียน ดังนั้น
การประเมินผลตามสภาพจริง จึงหมายถึง กระบวนการ สังเกต การบันทึกและ
รวบรวมข้อมูลจากผลงานและวิธีการที่ผู้เรียนกระทํา เพื่อเป็นพื้นฐาน
สําหรับการตัดสินใจในการศึกษาถึง ผลกระทบต่อผู้เรียนเหล่านั้น
การประเมินผลตามสภาพจริง จะไม่เน้นเฉพาะการประเมินทักษะพื้นฐาน
แต่จะเน้นการประเมินทักษะการคิดที่ซับซ้อนใน
การทํางานของผู้เรียนประเมินความสามารถในการแกปัญหา้ และการแสดงออกที่เกิดจากการ
ปฏิบัติงานตามสภาพจริง นอกจากนั้น ยังเน้นการประเมินพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดจาก
การให้ผู้เรียนเป็นผู้ค้นพบข้อความรู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
พัฒนาการสอนของครูอยาง่ ต่อเนื่องอีกด้วย
ลักษณะของการประเมินผลตามสภาพจริง
ลักษณะสําคัญของการประเมินผลตามสภาพจริง
มีอยูด้วยก่นั 4 ประการ
1.
ประเมินในสิ่งที่เป็ นภาคปฏิบัติจหรือกระทําจริงได้ิงเช่น ผู้เรียนต้องทําการทดลอง วิทยาศาสตร์ได้จริงๆ
ไม่ใช่ทดลองหรือแกปัญหาโดยการเขียนบรรยาย้ หรือจําจําถึงหลักของ
วิทยาศาสตร์โดยไม่เคยทดลองเลย หรือเด็กที่จะเป็นผู้ได้เกรด A วิชาสุขศึกษา
จะต้องเป็ นผู้รู้จัก รักษาอนามัยตนเองได้ดีร่างกาย แข็งแรง
ไม่ใช่เด็กที่ตอบคะแนนจากวิชานี้ได้สูง แต่ไม่รู้จักดูแล สุขภาพ
ขี้โรคและแต่งตัวสกปรก เป็นต้น
2.
กําหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินไว้ให้ชัดเจนโดยยึดหลักของการแสดงออกหรือปฏิบัติ ตนเป็นสําคัญ
เพื่อการเข้าใจกนระหวั่างผู้เรียนและครู
3.
การประเมินตามสภาพจริง
จะต้องทําให้ผ้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองไดู้ อย่างเต็มที่ดกสามารถจะปรับปรุง
หรือขยายผลงานของตนให้เข้าใกล้กบสิั่งที่เป็นเกณฑ์ กาหนดไว้ตามความสามารถของตนเองํ
4.
การประเมินตามสภาพจริง
จะช่วยให้ผ้เรียนพัฒนาในการแสดงออกอย่างเต็มทีู่ในสิ่งที่
เขา
สนใจและต้องการ จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งในสภาพแวดล้อม ชุมชน
ที่เขาอยูอาศัย่ การเรียนใน
ลักษณะนี้จะทําให้ผู้เรียนมีความสุขต่อการเรียนรู้ในโรงเรียน ดีกว่าการบังคับเรียน
โดยครูหรือหลักสูตรที่คับแคบไม่ตอบสนองและคํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลแต่
อยางไร่
จากลักษณะสําคัญของการประเมินผลตามสภาพจริง4ระการนี้จะเห็นว่าแนวการ
ประเมินตาม
สภาพจริงงที่จะวัดการแสดงออกใดๆ ของผู้เรียนอยางใกล้ชิดและในก่ิจกรรมทุก
กิจกรรมทุกอยางหน้าที่่ของครูจะเป็นไปในลักษณะติดตามผลพร้อมกบชั่วยเหลือ
เสนอแนะ
เปรียบเสมือนจะเป็
นผู้ฝึCoach)ก( แล้วผู้เรียนเป็นผู้แสดงหรือผู้เล่น ถ้าสร้างความเข้าใจใน
ลักษณะนี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกพัฒนาตนเองเต็มา
และเรียนอยางมีความสุขที่ตนสนใจและ่
ต้องการ
แนวการเรียนการสอนในลักษณะเด็กเป็ นผู้แสดง ครูจะต้องมีการติดตามและมีการวัด
แม่นยํา
และเป็นไปตามสภาพจริงๆ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนการสอน
แนวทางในการวัดการประเมินตามสภาพจริง
เพื่อให้เห็นแนวทางของการวัดการประเมินตามสภาพจริง
จึงกล่าวสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
1.
การวัดผลจะต้องใช้หลายๆ วิธีในการวัดเพื่อจะได้ประเมินผู้เรียนได้ครอบคลุม เช่น แบบสังเกต
การสัมภาษณ์ แบบสอบถาม การใช้สังคมมิติ การวัดจินตภาพ การวัดภาคปฏิบัติ และ
โดยใช้ข้อสอบ เป็ นต้น
2. จะต้องมีการจัดทําแฟ้มสะสมงาน(Portfolio)
ซึ่ งจะเป็ นที่รวบรวมผลงา ต่างๆ ของผู้เรียนคน หนึ่งๆ อันเป็ นผลมาจากการเรียนการสอน มาเป็
นองค์ประกอบหนึ่งของการประเมินปลายภาค หรือปลายปี
3.
การวัดผลต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระดับชั้นต่างๆ
ในตัวผ้เรียนแต่ละคนู จะต้องตอบให้ได้ว่าบรรลุ เป้าหมายมากน้อยเพียงไร
3.1
เป้าหมายระดับชาติ (เป้าหมายสูงสุดหรือปรัชญา)
3.2
เป้าหมายระดับท้องถิ่น (เป้าหมายหลักสูตร)
3.3
เป้าหมายของตนเอง (ผู้เรียน) (เป้าหมายตอบสนองบุคคล)
4.
แนวทางในการวัด
เน้นการวัดที่ควบค่ไปกับการเรียนการสอนหรือการวัดมู่งจะปรับปรุุง พัฒนาผ้เรียนู (Formative Evaluation) ส่วนการวัดที่เน้นโดยภาพรวมหรือสรุป (Summative Evaluation) จะทําในระดับท้องถิ่นและระดับชาติแต่ในส่วนครูผู้สอนจะต้องเน้นการวัดผล
ควบคู่ไปกบการเรียนการสอนั เพราะเมื่อไรเห็นผู้เรียนอ่อนในเนื้อหาใด
หรือประสบการณ์ใด เป็นหน้าที่ของครูจะต้องช่วยพัฒนาและซ่อม เสริมได้ตรงจุดและจะต้องทําอยูตลอดเวลา่
การวัด และประเมินตามแนวนี้จะช่วยสร้างความอบอุ่นต่อการ
เรียนการสอนเด็กจะมีความสุข การ วัดผลแบบแนวเดิมๆและใช้ข้อสอบอยางเดียวเป็นหลัก่
จะสร้างความ หวาดวิตกกงวลให้แกั่ ผู้เรียน
และผู้เรียนจะไม่มีความสุขแต่อยางไรการเรียนการสอนก่็กลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ ไม่
น่าสนใจ
เครื่องมือการประเมินผลตามสภาพจริง
การประเมินผลตามสภาพจริงที่มีการบูรณาการกิจกรรมการเรียนการสอนกบแผนการ
(process)
ผลผลิต Products)( และแฟ้มสะสมงาน Portfolios)( โดยการประเมินควบคู่กนดังนีั้
(นวรัตน์ สมนาม,2546. หน้า193 - 195)
1.
การประเมินการแสดงออก Performance)
การประเมินการแสดงออก
ครูสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนเมื่อครูอยูท่่ามกลางกลุ่ม นักเรียน โดยครูเล่านิทาน
หรือนักเรียนทํางาน และกิจกรรมต่างๆ ครูจะสังเกตสีหน้าท่าทางการ พูดโต้ตอบ การ
แสดงออกที่สนุกสนานเพลิดเพลิน รวมทั้งแสดงออกในการพูดโต้ตอบ พัฒนาการทางด้านภาษา
ความเข้าใจ เรื่องราวในเรื่องที่เรียน เป็ นต้น สําหรับการประเมิน กระบวนการ (process)
ซึ่งจะต้องสังเกตควบคู่กบการั แสดงออก โดยครูสังเกตการเคลื่อนไหว กิริยาท่าทาง
ความร่วมมือ ความคล่องแคลว่ ความอดทน การใช้อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ใน
ระหว่างการเรียน การปฏิบัติงาน รวมทั้งการมีปฏิสัมพันธ์กบเพื่อนและผู้ใหญั่เป็นต้น
2. การประเมินกระบวนการและผลผลิตProcess(
and Products)
การประเมินผลผลิตนักเรียนจะเป็
นสื่อกลางให้ครูเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน
ข้อมูลที่สําคัญที่เกิดจากการสํารวจค้นคว้า ทดลอง และโครงงานต่างๆ
จุดเน้นของการประเมิน สภาพจริงจะไม่พิจารณาเฉพาะผลผลิตเท่านั้น
แต่จะเน้นที่กระบวนการที่มีต่อผลผลิตด้วย ตัวอยางการผลิต่ แผนงาน โครงงาน
รายชื่อหนังสือที่อ่าน ผลการสาธิต การจัดนิทรรศการ แผนภาพแผนภูมิเกมต่างๆ
โครงงานกลุ่ม เป็นต้น
การประเมินแฟ้มสะสมงานPortfolio(
Assessment)
เป็นวิธีการประเมินที่เน้นประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง
ในการประเมินการแสดงออก กระบวนการและผลผลิต หมายถึง
การประเมินความสําเร็จของนักเรียนจากผลงานที่เป็นชิ้นงาน ที่ดีที่สุด
หรือผลงานที่แสดง ถึงความสนใจ ความสามารถ ทักษะ เจตคติ และพัฒนาการของ
นักเรียนที่ได้เรียนรู้มาช่วงระยะหนึ่ง
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เขาประสบความสําเร็จ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสามารถนําไปใช้ในการประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน
จึงควรทํา ความรู้จักกบแฟ้มสะสมงานในรายละเอียดั ดังนี้
3.1 ความหมายของแฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงาน
หมายถึง สิ่งที่เกบรวบรวมผลงานหรือตัวอย็างของผลงานหรือหลักฐาน่
ที่
แสดงถึงผลสัมฤทธิ์ ความสามารถ ความพยายาม หรือความถนัดของบุคคลหรือประเด็น
สําคัญที่ต้องจัดเก็บ
ไว้อยางเป็นระบบ่
3.2 ลักษณะเด่นของการประเมินโดยแฟ้มสะสมงาน
การประเมินโดยแฟ้มสะสมงาน
มีลักษณะเด่นที่สําคัญดังต่อไปนี้ 3.2.1 เพิ่มแรงจูงใจในการเรียนของนักเรียน
3.2.2
พัฒนาทักษะทางวิชาการระดับสูงแก่นักเรียน
3.2.4
เป็นการปรับเปลี่ยนการเรียนรู้จากนามธรรมไปสู่รูปธรรม
3.2.5 แสดงพัฒนาการของนักเรียนอยางต่อเนื่อง่
และนักเรียนได้ปรับปรุงงาน ตลอดเวลา
3.2.6
วัดความสามารถของนักเรียนได้หลายด้าน
3.2.7 เป็นกิจกรรมที่สอดแทรกอยูในสภาพการเรียนประจําวันที่มีประโยชน์ต่่อนักเรียน
ในสภาพชีวิตจริง
3.2.8 นักเรียนมีความตระหนักในกระบวนการและยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมในการ
เรียน การแกปัญหา้ การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการสอนปกติถ้าไม่สอน เรื่องเหล่านี้โดยตรง แล้ว
นักเรียนจะมีโอกาสเรียนรู้เรื่องนี้ได้น้อยมาก
3.2.9
นักเรียนได้มีโอกาสในการแสดง สร้างสรรค์ ผลิตหรือทํางานด้วยตนเอง
3.3 ประเภทของแฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงาน
สามารถรวบรวมเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้4 ประเภท ดังนี้
3.3.1 แฟ้มสะสมงานส่วนบุคคล
เป็นแฟ้มที่แสดงข้อมูลเก่ียวกบตัวเจ้าของแฟ้มั เช่น ความสามารถพิเศษ กีฬา
งานอดิเรก สัตว์เลี้ยง การทองเที่ยว่ และการร่วมกิจกรรมชุมชน เป็นต้น
3.3.2 แฟ้มสะสมงานวิชาชีพ
เป็นแฟ้มที่แสดงผลงานเก่ียวกบอาชีพั เช่น แฟ้มสะสมงาน เพื่อใช้ในการสมัครงาน
แฟ้มสะสมงานเพื่อเสนอขอเลื่อนระดับ เป็นต้น
3.3.3 แฟ้มสะสมงานวิชาการ
หรือแฟ้มที่แสดงผลงานเก่ียวกบอาชีพั เช่น แฟ้มสะสม งาน เพื่อใช้ในการสมัครงาน
แฟ้มสะสมงานเพื่อใช้ประเมินผลการผานจุดประสงค์การเรียนรู้่ แฟ้มสะสมงานเพื่อ
ใช้ประกอบการประเมินผลปลายภาคและปลายปี เป็ นต้น
3.3.4
แฟ้มสะสมงานสําหรับโครงการ มีลักษณะคล้ายภาพยนตร์ สารคดีโดยเป็ นแฟ้มที่ แสดงถึงความพยายามหรือขั้นตอนการทํางานในโครงการหนึ่งๆ
หรือในการศึกษาส่วนบุคคล เช่น แฟ้ม โครงการอาหารกลางวันในแฟ้มจะประกอบด้วยเอกสาร
โครงการ หลักฐานที่แสดง ถึงร่องรอยของการ ปฏิบัติงานและผลงาน เป็นต้น
3.4 องค์ประกอบของแฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงานเป็
นการเ็บรวบรวมผลงานที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของผู้เรียนมี
องค์ประกอบสําคัญของแฟ้มสะสมงานไว้ดังนี้
3.4.1 จุดมุ่งหมาย
กาหนดขึํ้นเพื่อใช้ตัดสินว่าแฟ้มสะสมงานจะใช้อธิบายหรือจัดอะไร จุดมุ่งหมายเป็นกิจกรรมแรกที่สําคัญในการจัดทําแฟ้มสะสมงาน
จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนช่วย ป้องกนไมั่ให้นักเรียนทํางานมากเกินความจําเป็น
แฟ้มสะสมงานมีความหมายมากกว่าการ รวบรวมกระดาษบรรจุลงแฟ้ม
หรือรวบรวมความจําเขียนลงในสมุด แต่หลักฐานแต่ละชิ้นใน
แฟ้มสะสมงานจะต้องสร้างสรรค์ และ จัดระบบความที่แสดงให้เห็นถึงความชํานาญ หรือ
ความกาวหน้าตามจุดประสงค์้จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนช่วย ให้นักเรียนเข้าใจ
และสามารถเชื่อมจุดหมายเหล่านี้เข้ากบการสอนในแตั่ละวันของครู
3.4.2
หลักฐานหรือชิ้นงาน ประกอบด้วยหลักฐานและแนวทางต่างๆ ที่นักเรียนเลือก
เพื่อ
แสดงให้เห็นถึงความสําเร็จในการบรรลุจุดประสงค์ การสร้าง การรวบรวมเอกสาร 3.4.2.1 เอกสารประเภทการบ้าน
แบบฝึกหัด รายงานของนักเรียนที่เกิดขึ้นระหว่าง
การทํางานวิชาการ
ในห้องเรียน
3.4.2.2
เอกสารที่แสดงถึงงานที่นักเรียนทํานอกห้องเรียน เช่น โครงการพิเศษ การ
สัมภาษณ์
3.4.2.3 เอกสารที่ครูและคนอื่นๆ
ใช้แสดงให้เห็นถึงความกาวหน้าทางวิชาการของ้ นักเรียน เช่น บันทึกการสังเกตที่ครูบันทึกระหว่างที่นักเรียนนําเสนอหน้าชั้น
ใช้เป็นหลักฐาน แสดง ความกาวหน้าในการเรียนเกี่ยวกบการพูดหน้าชัั้น
บันทึกของผู้เรียน เพื่อนนักเรียน ผู้ปกครอง การสอนใน ลักษณะต่างๆ
3.4.2.4 เอกสารที่นักเรียนเตรียมขึ้นเฉพาะบรรจุลงในแฟ้มผลงาน
ซึ่ งประกอบด้วย จุดมุ่งหมาย
ข้อความที่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถตามจุดมุ่งหมายและหัวข้อ
3.4.3 การประเมินตนเอง
เป็นการให้นักเรียนประเมินแฟ้มสะสมงานของตนเองว่า เป็นไปตามจุดประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ด้วยกระบวนการต่อไปนี้
3.4.3.1 กาหนดองค์ประกอบและเกณฑ์ในการตรวจสอบผลงานโดยครูและนักเรียนํ
ร่วมกนกัาหนดเกณฑ์ํอาจอยูในรูปของดัชนี่คะแนน
หรือคุณลักษณะที่สามารถให้ข้อมูลป้อนก นักเรียนได้
3.4.3.2 สร้างเครื่องมือเพื่อให้การตรวจสอบผลงานตามองค์ประกอบ
เช่น แบบ สํารวจ รายการ บันทึกรายการเรียนรู้เป็นต้น
3.4.4 เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือความรู้สึกตอชิ่้นงาน
แต่ละชิ้นที่บรรจุในแฟ้ม สะสมงาน รวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์และการให้คะแนนชิ้นงาน
ซึ่งทําให้แฟ้มสะสมงานมีชีวิต ชีวา และช่วย ให้นักเรียนพิจารณาการเรียนรู้ของตนเอง
ซึ่งเป็นการใช้ความคิดในขั้นสูง
3.4.5 การประเมินแฟ้มสะสมงาน
เป็นการประเมินความพอดีระหว่างความสามารถ ที่แท้จริงของผู้เรียนกบศักยภาพของผู้เรียนั
3.5 ประโยชน์ของแฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงานมีประโยชน์ในการแสดงผลงานของผู้เรียนที่สอดคล้อง
กบความสามารถที่ั
แท้จริง
แฟ้มสะสมงานมีประโยชน์ต่อผู้สอน ดังนี้
3.5.1
ใช้ประเมินความกาวหน้าในการเรียนของผู้เรียนเป็นรายบุคคล
3.5.2 ทําหน้าที่ในการสะท้อนความสามารถรวมออกมาเป็นผลงานชิ้นสุดท้าย
และกา หน้าที่ในการสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการทํางานของนักเรียนได้ทุกขั้นตอน
3.5.3 แฟ้มสะสมงานจะทําให้ครูสามารถหาจุดเด่นของนักเรียนได้มากกว่าจุดด้อย
ชัยน สามารถเลือกตัดสินใจว่าชิ้นงานที่ดีที่สุดของตนในการประเมิน
ดังนั้นนักเรียนมีความสุขในการ แฟ้มสะสมงานของตนมากกว่า
3.5.4 ทําหน้าที่สําคัญในการแจ้งผลสําเร็จของนักเรียนให้บุคคลที่เก่ียวข้องทราบ
รวม สามารถนําไปใช้ในการอภิปรายความกาวหน้าของนักเรียนก้บผู้ปกครองได้การประเมินจากั
แฟ้มสะสมงาน" มีลักษณะเปิดเผยตรงไปตรงมา
ซึ่งต่างจากการใช้แบบทดสอบที่ครูต้องปกปิด เป็นความลับอยูเสมอ่
3.5.5 การเก็บสะสมงาน
งานทุกชิ้นที่พิจารณาคัดเลือกไว้ต้องเขียน ชื่อ วัน เดือน แปะติด ไว้ให้สามารถประเมินความเจริญงอกงามหรือพัฒนาการของนักเรียน
3.6 กระบวนการทําแฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงาน
จะเป็นแฟ้มสะสมงานที่สมบูรณ์มีค่าเมื่อมีการจัดกระทําอยางเป็นระบบ่
หรือเป็นกระบวนการตอเนื่องก่นั ในการทําแฟ้มสะสมงานมีกระบวนการที่จําเป็น 10 ขั้นตอน
3.6.1
ขั้นกาหนดวัตถุประสงค์และประเภทของแฟ้มสะสมงานํ การกาหนดวัตถุประสงค์ํ และประเภทของแฟ้มสะสมงานจะเป็นตัวตอบคําถามว่าทําไมจึงต้องนํานักเรียนมาเก่ียวข้องกบั
การรวบรวม งานที่เขาสร้างขึ้น แฟ้มสะสมงานจะถูกนําไปใช้อยางไร่
มีจุดประสงค์ที่แท้จริง อยางไร่ การประเมินผลใช้วิธีการใด
ซึ่งในการกาหนดจุดประสงค์ของแฟ้มสะสมงานต้องยึดํ หลักแห่งความรู้กระบวนการเรียนรู้และ
ความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยให้ผู้เรียนได้ทํา
กิจกรรม และประเมินตนเองได้ตลอดระยะเวลาที่กาหนดํ
เป็นการช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ ตลอดชีวิตสามารถสะท้อนความสามารถในการคิด
และนักเรียนยังสามารถ กากํบดูแลั และชื่น ชมความกาวหน้าก้บพัฒนาการของตนเองั
3.6.2 ขั้นรวบรวมชิ้นงานและจัดการชิ้นงาน
ในขั้นนี้ครูจะต้องวางแผนร่วมกบนักเรียนั ว่า จะเก็บรวบรวมชิ้นงานอยางไร่
ออกแบบเครื่องมือและวิธีการที่จะช่วยให้นักเรียนได้จัดระบบ กบชิั้นงาน ของเขา
ชิ้นงานมี2 ชนิด คือ งานแกนที่ทุกคนต้องทํารูอจจะต้องมีแนวทางให้และค เลือกงานที่นักเรียน
สามรถใช้ความคิดสร้างสรรค์อยางเต็มที่ตามความสนใจ่
3.6.4 ขั้นสร้างสรรค์ผลงาน
ในขั้นนี้เป็นการถ่ายทอดความสามารถในการสร้างสรรค์ ผลงานให้ประจักษ์ถึงความสามารถของผู้เรียนในการตกแต่ง
ประดิษฐ์แฟ้มงานทั้งมีความ สวยงาม และมีผลงานที่สะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิด
เก็บรวบรวมไว้อยางเป็นระเบียบและ่ สวยงาม ซึ่งสิ่งนี้จะแสดงความคิด
สร้างสรรค์และบุคลิกภาพของผู้เรียน
3.6.5
ขั้นการสะท้อนข้อมูลกลับ เป็ นการให้นักเรียนสะท้อนความรู้สึกนึกคิดหรือความ คิดเห็นต่อชิ้นงานที่เลือกไว้ในแฟ้มสะสมงาน
ในกระบวนการสะท้อนข้อมูลกลับจะเก่ียวข้องกบั การทํางาน ตั้งแต่ขั้นการวางแผน
การติดตาม และการประเมินผลงาน วิธีการสะท้อนข้อมูลกลับ
เก่ียวกบชิั้นงานโดยใช้สัญลักษณ์แสดงไว้ในชิ้นงานแต่ละขั้น
หรือการให้คําวิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้งอาจให้คะแนนไว้บนชิ้นงาน
จะอธิบายถึงคุณค่าของชิ้นงานนั้นๆ
3.6.6 ขั้นการตรวจสอบความสามารถของตนเอง
ในขั้นนี้นักเรียนสามารถตรวจสอบ แฟ้ม สะสมงาน เพื่อประเมินตนเองและชิ้นงานของตนว่า
บรรลุเป้าหมายระยะยาวระยะสั้นมาก น้อยเพียงใดกเรียนได้พบจุดอัอนอะไรบ้าง่
และงานในแฟ้มสะสมงานสามารถชี้ความกาวหน้า้ ในขอบข่ายเนื้อหาสาระ
ในเป้าหมายหรือไม่เพื่อทําให้เกิดความเชื่อมันในแนวทางการทํางาน่ ของตน
3.6.7 ขั้นการทํางานให้สมบูรณ์และประเมินค่าผลงาน
การทํางานให้สมบูรณ์ยิงขึ่้น เพื่อให้พร้อมที่จะนําไปสู่การให้ระดับคะแนน ดังนั้น
การทําให้งานสมบูรณ์จะช่วยขัดเกลางาน
ประเมิน
Rubrics)( ที่กาหนดไว้ลํ่วงหน้าโดยครูและนักเรียน การประเมินจะเน้นความกาวหน้า
ในผลงานของนักเรียนแต่ละคน มากกว่าการเปรียบเทียบ นักเรียนกบกลุั่ม
3.6.8 ขั้นการเชื่อมโยงและการปรึกษาหารือ
การประชุมสัมมนากบแฟ้มผลงานเพื่อเปิดั โอกาสให้นักเรียน ครูและผู้ปกครอง
ได้มีส่วนร่วมตัดสินใจถึงความสําคัญต่อการวัดผล ประเมินผล การ
ปฏิบัติจริงโดยใช้การประเมินแฟ้มสะสมงาน
3.6.9 ขั้นการทําให้ผลงานมีคุณค่าทันสมัย
การพิจารณานําชิ้นงานเข้าเก็บหรือดึงชิ้นงาน ออก
เพื่อทําให้ชิ้นงานและแฟ้มสะสมงานสมบูรณ์และทันสมัยเหมาะแก่การนําไปใช้ขึ้นอยูก่บั
ดุลยพินิจของ นักเรียนที่จะพิจารณาคุณภาพของชิ้นงานและแฟ้มสะสมงาน
3.6.10 ขั้นยอมรับคุณค่าที่สมบูรณ์และนําเสนอผลงานด้วยความภาคภูมิใจการจัดเสนอ
แฟ้มผลงาน จะผนวกเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการของแฟ้มสะสมงาน
เพื่อให้นักเรียนเตรียมจัด แสดง นิทรรศการด้วยตนเอง แก่กลุ่มเป้าหมาย ผู้ปกครอง
โดยการกาหนดเวลาที่แนํ่นอนเป็น การยอมรับคุณค่าอัน เป็นกระบวนการที่จะส่งเสริมกาลังใจํ
และความสําเร็จของงานอยางมี่ ระบบ
3.7 การประคุณภาพของแฟ้มสะสมงาน
การประเมินคุณภาพของแฟ้มสะสมงานต้องกาหนดเกณฑ์ที่ชัดเจนที่สะท้อนํ
ความสามารถ
ผู้เรียนได้การจัดทําเกณฑ์ในการประเมินเริ่มจากการกาหนดนิยามของทักษะหรือํ
สมรรถภาพที่จะวัด และ เลือกมาตราวัดว่าจะใช้เชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ
หลังจากนั้นจึง จําเป็นต้องมีความชัดเจนว่าจะประเมินรวม หรีประเมินแยกเป็นรายชิ้น
แต่ละสมรรถภาพที่วัด จะมีตัวชี้วัดอะไรบ้าง ชิ้นงานแต่ละชิ้นมีนํ้าหนักคะแนน
เท่าไร ผลการประเมินตนเองของผู้เรียน เพื่อน ครูผ้ปกครอง และผู้สนใจ
จะให้คะแนนกาหนดมาตรฐานํ คุณภาพของงาน อย่างไร
กล่าวโดยสรุป
แฟ้มสะสมงานเป็นทั้งเครื่องมือในการสอนของครูเป็นการประเมินผล ตรงตามสภาพจริง
และยังเป็นการพัฒนาวิชาชีพครู การนําแฟ้มสะสมงานมาใช้จึงต้องเป็ นระบบและจาก
การวิจัยของ ดํารัส สีหะวีรชาติ 2542)( พบว่า การใช้แฟ้มสะสมงานในการพัฒนาการ
เรียนการสอน นักเรียน ได้มีโอกาสในการแสดงความสามารถ
มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สนใจ เรียน นักเรียนมีความ
นักเรียนรู้จักรับผิดชอบในการประเมินและตรวจสอบตนงขึ
ผู้ปกครองมีความพึงพอใจที่ได้เห็นผู้เรียนรู้จักรับผิดชอบในการประเมินและตรวจสอบตนเอง
มากขึ้น
ผู้ปกครองมีความพึงพอใจที่ได้เห็นผู้เรียน รู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์มีความ
ภาคภูมิใจในการจัดทําแฟ้มสะสมงานของผู้เรียน
วิธีการประเมินผลตามสภาพจริง
การประเมินผลตามสภาพจริง จะเป็ นการประเมินที่เป็
นระบบเป็นกระบวนการใช้วิธีการ ประเมิน ได้หลายวิธี อาทิ
1.
การสังเกตอาจจะมีหรือไม่มีเครื่องมือในการสังเกตก็ได้ซึ่งสามารถทําได้ในทุก สถานการณ์
2.
การสัมภาษณ์โดยการตั้งคําถามอยางง่่ายๆ
ซึ่งสามารถสัมภาษณ์ได้ทั้งอยางเป็นทางการ่
และไม่เป็นทางการ
3.
การบันทึกจากผ้เกี่ยวข้องูโดยการรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นเก่ียวกบผู้เรียนจากั ผู้เก่ียวข้อง
ทั้งทางด้านความรู้ความสามารถ และการแสดงออกในลักษณะต่างๆ
4.
แบบทดสอบวัดความสามารถจริง(Authentic Test) โดยการสร้างคําถามเก่ียวกบการนําั ความรู้ไปใช้หรือการสร้างความรู้ใหม่ในสถานการณ์จําลองที่คล้ายคลึงกนั
หรือเลียนแบบ สภาพจริง
5.
การรายงานตนเอง โดยการพูดหรือเขียนบรรยายความรู้สึกนึกคิด
ความเข้าใจ ความ ต้องการ วิธีการ
และผลงานของผู้เรียน
6.
แฟ้มสะสมงาน(Portfolio)
เป็นการรวบรวมผลงานไว้อยางเป็นระบบในช่่วงระยะหนึ่ง เพื่อ เป็ นหลักฐานที่แสดงถึงความเข้าใจ ความสามารถ ทักษะ ความสนใจ
ความถนัด ความ พยายาม ความกาวหน้า้ และความสําเร็จ
ข้อควรคํานึงถึงในการประเมินผลตามสภาพจริง
ในการประเมินตามสภาพจริง
ควรคํานึงถึงสิ่งตอไปนี่้
1.
เป็นการประเมินที่กระทําไปพร้อมๆ
กบการจัดการเรียนรู้และการเรียนรู้ของผู้เรียนั
2.
เป็
นการประเมินที่ยึดพฤติกรรมเป็ นสําคัญPerformance(-based) ซึ่ งแสดงออกมาจริง
3.
ให้ความสําคัญในการพัฒนาจุดเด่นของผู้เรียน
4.
เน้นการพัฒนาผู้เรียนและการประเมินตนเอง
5.
ตั้งอยูบนพื่้นฐานเหตุการณ์ในชีวิตจริงเอื้อตอการเชื่อมโยงการเรียนรู้ไปสู่่ชีวิตจริง
ต่อเนื่อง
7. เน้นคุณภาพของผลงาน ซึ่ งเป็
นผลจากการบูรณาการความรู้ความสามารถหลายด้าน ของผู้เรียน
8.
เน้นการวัดความสามารถในการคิดระดับสูง
เช่น การวิเคราะห์การสังเคราะห์เป็นต้น
9. ส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์เชิงบวก มีการชื่นชม
ส่งเสริม และอํานวยความสะดวกในการ
เรียนรู้ของผู้เรียนให้ผู้เรียนมีความสุขสนุกสนาน ไม่เครียด
10.
สนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
(Stakeholders) ในการประเมินผล
การเรียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น